วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553

มงคลชีวิต 38 ประการ


พระอานนท์เถราจารย์ท่านกล่าวไว้ พระพุทธองค์ไขเทวดามาทูลถามผู้มีจิตเลื่อมใสใฝ่ทำตาม จะเพิ่มความสวัสดีมีมงคล

1 ไม่คบพาลกันพาไปหาผิด 2 คบบัณฑิตท่านพาหามรรคผล 3 การบูชาผู้มีคุณค้ำจุนชน เป็นมงคลพิพัฒน์สวัสดี 4 อยู่ในประเทศที่ดีมีพุทธสอน 5 บุญปางก่อนส่งมาเสริมราศี 6 ตั้งตนไว้ธรรมนำชีว แนวทางที่ประเสริฐเลิศมงคล 7 ความเป็นคนคงแก่เรียนเพียรใฝ่รู้ 8 ศิลปอยู่ที่ใจใช้เหตุผล 9 วินัยดี ศึกษาดี มีในตน 10 คำมงคลสุภาษิตเตือนจิตดี11 การบำรุงมามารดาบิดาค่าสูงสุด 12 สงเคราะห์บุตรให้ประจักษ์เป็นศักดิ์ศรี13 การสงเคราะห์คู่ครองพี่น้องดี14 การงานที่ไม่คั่งค้างสร้างมงคล 15 การให้ทานมีบุญมาจุนค้ำ 16ปรพฤติธรรมนำใจใฝ่กุศล17 การสงเคราะห์ญาติสนิทมิตรทุกคน 18 งานของตนไม่มีโทษโปรดจดจำ19 เว้นจากบาปทุกอย่าง ทางทุจริต 20 สำรวมจิตสิ่งมึนเมาเราอย่าถลำ 21 ไม่ประมาทพลาดพลั้งห่างจากธรรม มงคลล้ำมงคลเลิศเขิดชูใจ 22การเคารพผู้ใหญ่คุณวัยวุฒิ 23ดีที่สุดการถ่อมตนผลผ่องใส 24 ความพอเพียงเป็นเศรษฐีที่ภูมิใจ 25ดวงหทัยยึดมั่นกตัญญู26การฟังธรรมตามการสานความคิด 27หมั่นฝึกจิตทนได้ไม่อดสู 28ความเป็นคนสอนง่ายให้เชิดชู 29ยามได้ดูสมณะจะสุขใจ 30สนทนาธรรมตามกาลสำราญยิ่ง 31ขยันจริงพ้นทุกข์พบสุขใน 32การประพฤติพรมห์จรรย์หมั่นฝึกใจ 33 ได้กำไรอริยสัจชัดเจนดี 34การกระทะพระนิพานนั้นให้แจง 35จิตไม่แกว่งเพราะโลกกระธรรมนำวิถี 36ไม่เศร้าโศกหวั่นไหวทั้งร้ายดี 37 ผงธุลีในดวงใจมลายพลัน 38จิตเกษมเปรมปรีด์มีสุขยิ่งมงคลจริงอยู่ที่ใจใฝ่สุขสันต์ที่มนุษย์เทวดาแสวงหากันความดีนั้นสวัสดีมีมงคล

ของดีเมืองโคราช

"เมืองหญิงกล้า ผ้าไหมดี หมี่โคราช ปราสาทหิน ดินด่านเกวียน"

เมืองหญิงกล้า



อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี เป็นอนุสรณ์แด่วีรกรรมอันกล้าหาญของวีรสตรีไทย หรือย่าโม ซึ่งเป็นชื่อที่เรียกกันติดปากโดยทั่วไป สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2476 ตั้งอยู่กลางเมือง ชาวต่างถิ่นที่แวะมาเยือนและชาวเมืองโคราชนิยมมาสักการะและขอพรจากย่าโมอยู่เสมอ อนุสาวรีย์หล่อด้วยทองแดงรมดำ สูง 1.85 เมตร หนัก 325 กิโลกรัม แต่งกายด้วยเครื่องยศพระราชทาน ในท่ายืน มือขวากุมดาบ ปลายดาบจรดพื้น มือซ้ายท้าวสะเอว หันหน้าไปทางทิศตะวันตกซึ่งเป็นที่ตั้งของกรุงเทพฯ ตั้งอยู่บนฐานไพทีสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสองซึ่งบรรจุอัฐิของท่านท้าวสุรนารีมีนามเดิมว่า คุณหญิงโม เป็นภรรยาปลัดเมืองนครราชสีมา เมื่อปี พ.ศ. 2369 เจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทร์ ได้ยกทัพเข้ายึดเมืองโคราช คุณหญิงโมได้รวบรวมชาวบ้านเข้าสู้รบและต่อต้าน กองทัพของเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ไม่ให้ยกมาตีกรุงเทพฯได้เป็นผลสำเร็จ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาคุณหญิงโมเป็นท้าวสุรนารี ประชาชนพร้อมใจกันจัดงานเฉลิมฉลองวันแห่งชัยชนะของท้าวสุรนารีขึ้น ระหว่างวันที่ 23 มีนาคม ถึงวันที่ 3 เมษายน เป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นการระลึกถึงคุณความดีของท่าน

ผ้าไหมดี


หัตถกรรมที่ขึ้นหน้าขึ้นตาและมีชื่อเสียงเป็นที่ติดปากของผู้คนทั่วไปของชาวโคราชอีกประเภทหนึ่ง คือ ผ้าไหมปักธงชัย เป็นผ้าไหมที่มีคุณภาพดี กล่าวคือ เนื้อผ้าหนาแน่น สีคงทน ไม่ตก เมื่อนำมาซักเนื้อผ้าไม่ยุบเมื่อนำมา นุ่งเนื้อผ้าไม่ย้วย คุณภาพของผ้าได้มาตรฐาน มีปริมาณการผลิตมากพอจนสามารถส่งไปจำหน่ายต่างประเทศได้ วัสดุที่ใช้สำหรับทอผ้า ส่วนมากใช้เส้นใยไหม ที่ทอด้วยเส้นใยฝ้ายมีไม่มากนัก ชาวปักธงชัยปลูกหม่อน เลี้ยงไหม ทำเส้นใยขึ้นใช้สำหรับทอผ้าได้อย่างครบวงจร ผ้าที่ทอมักเป็นผ้าพื้น ๒ ตะกอ มีทั้งผ้าเนื้อหนา เนื้อบาง และผ้าเนื้อหยาบ ผ้าหมี่ ผ้าหางกระรอก ผ้าโสร่ง ฯลฯ สำหรับเส้นใยผ้าฝ้าย ใช้ทอผ้าขาวม้า ผ้าเหยียบ ฯลฯสีที่ใช้ย้อมใช้สีเคมีมีการนำเส้นใยฝ้ายโทเรเข้ามาใช้สำหรับทอด้วยเพราะเส้นใยฝ้ายไม่พอเพียง กรรมวิธีการทอผ้า เริ่มด้วยการคัดเลือกเส้นใยสำหรับเส้นพุ่งและเส้นยืน การฟอกย้อม การค้นหูก การสืบหูก การเก็บ ตะกอ ฯลฯ เครื่องมือที่ใช้ได้มีการพัฒนาให้ทันสมัย สามารถฟอก ย้อมได้ครั้งละมาก ๆ การค้นหูกค้นได้ครั้งละร้อยกว่าเมตรการสืบหูกการเก็บตะกอล้วนได้รับการพัฒนาให้สามารถทำได้เร็วขึ้น ก่อนที่จะนำหูกขึ้นกี่ กี่ทอผ้า ส่วนมากเป็นกี่กระตุก ซึ่งทอผ้าได้เร็วกว่าการทอด้วยมือ ชาวบ้านได้รับการฝึกฝนให้ทอผ้า ด้วยกี่กระตุกได้เป็นอย่างดี กี่กระตุกเป็นกี่ที่เหมาะกับการทอผ้าพื้น การประยุกต์ใช้ ผ้าไหมพื้นเป็นผ้าที่นำมาใช้ประโยชน์ได้สูง สามารถนำมาตัดเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มทั้งหญิงและชาย ได้อย่างสวยงาม ถ้าต้องการทำให้มีลายบนเนื้อผ้า อาจนำไปพิมพ์ ปักหรือฉลุ ใช้ประโยชน์ได้ตามวัตถุประสงค์ เช่น ทำผ้าปูโต๊ะ ผ้ารองจาน กระเป๋า แฟ้มเอกสาร ฯลฯ พวงกุญแจผ้าเนื้อหนา อาจนำมาทำผ้าห่ม ผ้าม่าน บุเฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ

หมีโคราช



หมี่ เป็นอาหารมื้อกลางวัน ในชีวิตประจำวันของคนโคราช โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานบุญ เช่น งานโกนจุก งานบวชนาค แต่งงาน หรืองานสมโภชอื่นๆ การผลิตเส้นหมี่ จะผลิตในหมู่บ้านทั่วๆ ไปแต่แหล่งผลิตที่สำคัญ ทำเป็นอาชีพ ส่งขายทั่วไป ได้แก่หมี่พิมาย อำเภอพิมาย หมี่กระโทก อำเภอโชคชัย หมี่ตะคุ อำเภอปักธงชัย หมี่กุดจิก อำเภอสูงเนิน หมี่จักราช อำเภอจักราช การทำเส้นหมี่ ได้ถ่ายทอดสืบต่อกันมา เป็นภูมิปัญญา ในการพลิกแพลงอาหาร จากแป้งได้เป็นอย่างดี

ปราสาทหิน



ปราสาทหินพิมาย เป็นศาสนสถานที่สร้างขึ้นในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน ตั้งอยู่ในอำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา คำว่า "พิมาย" น่าจะเป็นคำเดียวกันกับชื่อ "วิมาย" ที่ปรากฎอยู่ในจารึกภาษาเขมรบนแผ่นหิน กรอบประตูด้านทางเข้า พิมายเป็นเมืองโบราณขนาดใหญ่ที่มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีคู และกำแพงเมืองล้อมรอบ มีปราสาทประธานตั้งอยู่ในบริเวณที่เป็นจุดศูนย์กลางของเมือง มีแม่น้ำมูลไหลผ่าน ทางด้านทิศเหนือและทางทิศตะวันออก ด้านทิศใต้มีแม่น้ำเค็ง ทางด้านทิศตะวันตกมีลำน้ำจักราชไหลผ่านไปบรรจบกับแม่น้ำมูลที่ท่าสงกรานต์ มีแหล่งน้ำภายในเมืองได้แก่สระแก้ว สระพลุ่ง สระขวัญ และสระน้ำที่ขุดขึ้นภายนอกเมืองได้แก่ สระเพลง สระโบสถ์ และสระเพลงแห้ง และอ่างเก็บน้ำ (บาราย) ขนาดใหญ่ทางด้านทิศใต้ ปราสาทหินพิมายคงสร้างในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๗ และมีการก่อสร้างเพิ่มเติมในปีพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ทั้งนี้โดยกำหนดอายุ จากหลักฐานต่าง ๆ เช่น ศิลาจารึก หลักฐานทางโบราณคดี และหลักฐานทางด้านศิลปกรรมที่แตกต่างไปจากที่พบโดยทั่วไปของปราสาทหินอื่น ๆ ที่นิยมสร้างหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ในขณะที่ปราสาทพิมายจะสร้างให้หันด้านหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งตรงกับเมืองพระนคร เมืองหลวงของอาณาจักรเขมร ?? ท่านที่สนใจอยากจะเดินทางไปท่องเที่ยวและศึกษาโบราณคดีก็สามารถเดินทางไปได้โดยสดวก ตัวปราสาทหินตั้งอยู่ในเขตเทศบาลในเมือง อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ไปตามเส้นทางถนนมิตรภาพ นครราชสีมา-ขอนแก่น ถึงเทศบาลตลาดแคแยกขวามือเข้าสู่ตัวเมืองพิมายหนทางไป มา สดวก มีโรงแรมที่พักพร้อม เชิญพิสูจน์ได้ด้วยตัวท่านเองแล้วท่านจะไม่ผิดหวัง

ดินด่านเกวียน

ด่านเกวียน เป็นตำบลหนึ่งขึ้นอยู่กับอำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา เดิมอำเภอโชคชัยเป็นเมืองหน้าด่าน เรียกว่า "ด่านกระโทก"อยู่ในเส้นทางการค้าระหว่างโคราชกับเขมร ต่อมาได้รับการยกฐานะเป็น"อำเภอกระโทก"เมื่อปี พ.ศ.2446มีขุนอภัยอนุรักษ์เขต (2446-2450) เป็นนายอำเภอคนแรก ต่อมาในปี พ.ศ.2482 ทางราชการได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "อำเภอโชคชัย" เพื่อยกย่องวีรกรรมของพระเจ้าตากสินมหาราชเมื่อครั้งยกทัพมาปราบเจ้าเมืองพิมาย และได้รับชัยขนะ ณ บริเวณที่ตั้งอำเภอโชคชัย ด่านเกวียน เป็นชุมชนขนาดใหญ่อยู่ริมฝั่งลำน้ำมูลห่างจากอำเภอเมืองนครราชสีมาประมาณ 15 กิโลเมตร เมื่อสมัยก่อนเป็นที่พักของกองเกวียนบรรทุกสินค้าต่างๆ ที่จะเดินทางค้าขายระหว่างโคราชกับเขมร โดยผ่านทางนางรอง เมืองปัก บุรีรัมย์ สุรินทร์ ขุขันธ์ ขุนหาญ จนถึงเขมร การทำเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนมีมาตั้งแต่เมื่อใดไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัดบรรพบุรุษของชาวด่านเกวียนเล่าให้ฟังสืบๆ กันมาหลายชั่วอายุคนว่าเดิมชาวด่านเกวียนมีอาชีพทำนา ทำไร่ อยู่ริมฝั่งลำน้ำมูลและเรียนรู้การทำเครื่องปั้นดินเผาจาก "ชาวข่า"ซึ่งเป็นชาวเขาเผ่าหนึ่งตระกูล มอญ-เขมร เป็นชนพื้นเมืองเดิม ที่มีถิ่นฐานอาศัยอยู่แถบลุ่มแม่น้ำโขง โดยมีศูนย์กลางความเจริญอยู่ที่เมืองจำปาศักดิ์ ชาวข่าส่วนใหญ่ได้อพยพจากถิ่นฐานเดิมเข้ามาทำมาหากินในดินแดนแถบนี้และได้นำดินมาปั้นเป็นภาชนะและเผาไว้ใช้สอยในครัวเรือนเช่น โอ่ง กระถาง ไห ครก รอฝนยา เป็นต้น ต่อมาเมื่อ พ.ศ.2500 การผลิตเครื่องปั้นดินเผาตามวิถีชีวิตดั้งเดิมเริ่มเข้าสู่ยุคการเปลี่ยนแปลง วิธีการผลิตเมื่อวิทยาลัยเทคนิคภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้สำรวจพบว่าดินด่านเกวียนมีคุณสมบัติพิเศษ คือ มีแร่เหล็กผสมอยู่ เมื่อเผาที่อุณหภูมิประมาณ 1,200 องศาเซลเซียส ทำให้แร่เหล็กละลายออกมาเคลือบผิว ทำให้เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนมีลักษณะเป็นสีสัมฤทธิ์ มันวาว เมื่อเคาะจะมีเสียงดังกังวาน ปัจจุบันหมู่บ้านเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนมีชื่อเสียงมากในฐานะที่ผลิตเครื่องปั้นดินเผาได้สวยงามมีรูปแบบที่แปลก

เพลงโคราช

เพลงโคราช

เพลงพื้นบ้านของชาวนครราชสีมามีหลายอย่าง เช่น เพลงกล่อมลูกเพลงกลองยาว(เถิดเทิง) เพลงเซิ้งบั้งไฟเพลงแห่นางแมว เพลงปี่แก้วเพลงหม่งเหม่ง เพลงลากไม้ เพลงเชิดเพลงช้าเจ้าหงส์ดงลำไยแต่เพลงที่เล่นกันแพร่หลายและมีอายุยืนยาวมาจนถึงปัจจุบันนี้ คือ เพลงโคราช
เพลงโคราชจะเริ่มเล่นตั้งแต่เมื่อใด ไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัด หลักฐานจากคำบอกเล่าต่อ ๆ กันมา มีเพียงว่า สมัยท้าวสุรนารี ( คุณย่าโม ) ยังมีชีวิตอยู่ ( พ.ศ. 2313 ถึง 2395 ) ท่นชอบเพลงโคราชมาก เรื่องราวของเพลงโคราชได้ปรากฏหลัดฐานชัดเจน คือในปี พ.ศ. 2456 ที่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระราชชนนีพันปีหลวง เสด็จมานครราชสีมาทรงเปิดถนนจอมสุรางค์ยาตร์ และเสด็จไปพิมาย ในโอกาสรับเสด็จครั้งนั้น หมอเพลงชายรุ่นเก่าชื่อเสียงโด่งดังมากชื่อนายหรี่ บ้านสวนข่า ได้มีโอกาสเล่นเพลงโคราชถวาย เพลงที่เล่นใช้เพลงหลัก เช่น กลอนเพลงที่ว่า " ข้าพเจ้านายหรี่อยู่บุรีโคราชเป็นนักเลงเพลงหัด บ่าวพระยากำแหง ฯ เจ้าคุณเทศา ท่านตั้งให้เป็นขุนนาง .....ตำแหน่ง " ความอีกตอนเอ่ยถึงการรับเสด็จว่า " ได้สดับว่าจะรับเสด็จเพื่อเฉลิมพระเดชพระจอมแผ่นดิน โห่สามลา ฮาสามหลั่นเสียงสนั่น....ธานินทร์ "( สมเด็จพระพันปีหลวง ทรงเป้นผู้บังคับการพิเศษประจำกรมทหารม้านครราชสีมา จนถึง พ.ศ. 2462 เมื่อเสด็จนครราชสีมา นายหรี่ สวนข่า ก็มีโอกาสเล่นเพลงถวาย ) เพลงโคราชมีโอกาสเล่นถวายหน้าพระที่นั่งในงานชุมนุมลูกเสือครั้งที่ 1 ในนามการแสดงมหรสพของมณฑลนครราชสีมา เกี่ยวกับกำเนิดของเพลงโคราช มีทั้งที่เป็นคำเล่าและตำนานหลักฐานจากคำบอกเล่าของหมอเพลงอีกจำนวนหนึ่งเล่าต่อ ๆ กันมาว่า ในสมัยรัตนโกสินทร์มีสงครามระหว่างไทยกับเขมร เมื่อไทยชนะสงครามเขมรครั้งไร ชาวบ้านจะมีการเฉลิมฉลองชัยชนะ ด้วยการขับร้องและร่ายรำกันในหมู่สกที่เขาเรียกว่า " ซุมบ้านสก " ใกล้ ๆ กับชุมทางรถไฟ ถนนจิระและเริ่มเล่นเพลงโคราชกันที่หมู่บ้านนี้ ท่าทางการรำรุกรำถอย และการป้องหู มีผู้สันนิษฐานว่าประยุกต์มาจากการเล่นเจรียง ที่เป็นเพลงพื้นบ้านของชาวสุรินทร์ผสมผสาน กับเพลงทรงเครื่องของภาคกลาง

เพลงโคราชจากอดีตถึงปัจจุบัน

สมัยก่อนนั้น เพลงโคราชเป็นที่นิยมมาก เพราะการแสดงมหรสพ ที่เป็นหัวใจของงานฉลองสมโภชใด ๆ ก็ตาม มีเพลงโคราชเพียงอย่างเดียว คนฟังเพลงก็มีเวลามาก ฟังกันตั้งแต่หัวค่ำจนรุ่งเช้า เมื่อหมอเพลงเล่นเพลงลา คือลาผู้ฟังลาเจ้าภาพ และเพื่อนหมอเพลงด้วยกัน จะมีปี่พาทย์ ฆ้อง กลอง บรรเลงรับ หมอเพลงจะรำตามกัน ไปยังบ้านเจ้าภาพ เจ้าภาพก็นำเงินค่าหมอเพลงมาให้ พร้อมทั้งเลี้ยงข้าวปลา อาหาร และห่อข้าว ของกินต่าง ๆ ให้เป็นเสบียง ในการเดินทางกลับ คนฟังจะอยู่ร่วมฟังงาน จนเสร็จสิ้นกระบวนการ จึงทยอยกลับเช่นกัน เพลงโคราชสมัยก่อน ได้ไปเล่นหลายจังหวัด เช่น บุรีรัมย์ เพชรบูรณ์ พิษณุโลก สุรินทร์ ตลอดจนถึงประเทศกัมพูชา สำหรับจังหวัดต่าง ๆ ในภาคกลาง ก็ไปเล่นเป็นครั้งคราว ปัจจุบันค่านิยมของผู้ฟัง เปลี่ยนแปลงไปมาก แม้แต่ผู้ฟัง ในจังหวัดนครราชสีมาเอง ก็เสื่อมความนิยมลงมาก บ้างก็เห็นว่า เพลงโคราช เป็นเพลงหยาบคาย และไม่น่าสนใจ แม้ทางราชการส่งเสริม ให้นำออกแสดง ทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดนครราชสีมา ก็ต้องผ่านการตรวจ อย่างรัดกุม จะใช้ภาษาตรง ๆ เหมือนสมัยก่อนไม่ได้ถือว่าไม่เหมาะสมในการจัดงานฉลองสมโภชใดๆ มักจะมีมหรสพอื่นๆ เป็นคู่แข่งมากมาย เช่น ภาพยนตร์ มวย เพลงลูกทุ่ง ลิเก และรำวง เพลงโคราชจึงเป็นที่สนใจ สำหรับผู้ฟังรุ่นเก่าที่มีอายุค่อนข้างสูงแทบทั้งนั้น หมอเพลงโคราช ได้รวมตัวกัน เป็นคณะเพลงโคราช หลายคณะ และเข้ามาตั้งสำนักงานคณะ อยู่ในอำเภอเมืองเป็นส่วนใหญ่ เพื่อความสะดวก สำหรับมาติดต่อ หาเพลงไปเล่น หมอเพลงโคราช ต้องเล่นเพลงประยุกต์ ตามใจผู้ฟัง เช่น เล่นเพลงหมอลำ เล่นเพลงลำตัด และเพลงลูกทุ่ง พูดถึงท่ารำแตกต่างกันไป มีเพลงโคราชของคณะทองสุข กำปัง ที่ประยุกต์ เล่นแบบลำเพลิน คือนำเอาดนตรีสากล เข้ามาประกอบ แต่ยังไม่เป็นที่แพร่หลายนัก การรวมตัวกันเป็นคณะเพลงโคราชปัจจุบันนั้น นางสองเมือง อินทรกำแหง เป็นผู้ริเริ่มตั้งขึ้นเป็นคนแรก เมื่อปี พ.ศ. 2499 ตั้งอยู่ที่ ถนนสุรนารายณ์และต่อมาก็มีคณะต่าง ๆ ตั้งขึ้นอีกหลายคณะ ข้อดีคือ ทำให้สะดวก ในการติดต่อจ้างไปเล่น ข้อไม่ดีคือ เมื่อหมอเพลงอยู่คณะเดียวกัน ก็รู้ชั้นเชิงและฝีปากกัน ทำให้ฟัง ไม่สนุกสนาน มีผู้พยายามจะรวมคณะเพลงโคราชต่าง ๆ ก่อตั้งเป็นสมาคมเพลงโคราช แต่ยังไม่ได้รับความร่วมมือ จากหมอเพลงเท่าที่ควรจากความเชื่อที่ว่า ท่านท้าวสุรนารี ( คุณหญิงโม หรือ ย่าโมที่ชาวบ้านเรียกท่าน ) ชอบเพลงโคราช ในสมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่ จึงมีผู้หาเพลงโคราชไปเล่นให้ท่านฟัง เป็นการแก้บน ณ บริเวณใกล้ ๆ กับอนุสาวรีย์ ในตอนกลางคืนเป็นประจำ อาจเป็นปัจจัยหนึ่ง ที่ทำให้คนรุ่นใหม่ ได้รู้จักเพลงโคราช และหมอเพลงมีรายได้ประจำ แต่ก็มีผู้สนใจไปฟังไม่มากนัก พูดถึงการดำเนินชีวิตของหมอเพลงรุ่นปัจจุบัน ส่วนใหญ่อาชีพทำนา และเล่นเพลงเป็นอาชีพรอง แต่หมอเพลง ที่มีชื่อเสียงเช่น ลอยชาย แพรกระโทก, ลำดวน จักราช, ทองสุข กำปัง, นกน้อย วังม่วง, รำไพ หัวรถไฟ ต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า การประกอบอาชีพ ของหมอเพลงโคราชยังทำรายได้ดี ยังเป็นอาชีพที่มั่นคงอยู่ หมอเพลงดังกล่าวนี้ แม้จะประกอบอาชีพอื่น เช่น ทำนา ทำไร่ เป็นนักธุรกิจ แต่อาชีพหลักคือเล่นเพลงโคราช

วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

พระคุณแม่..ทดแทนไม่หมด

กาลครั้งหนึ่งไม่นานเท่าไหร่ ณ ต้นไม้ใหญ่ท้ายหมู่บ้าน มีเด็กชายคนหนึ่งเดินหงุดหงิดอยู่คนเดียว ปากก็บ่นไปว่า "ใช้อยู่ได้ วันๆใช้ทำโน่นทำนี่ เดี๋ยวให้ถูบ้าน เดี๋ยวให้ล้างจาน โอ้ย..เบื่อ ๆ ๆ "
เดือดร้อนถึงเทพผู้ให้กำเนิด ซึ่งเป็นผู้จัดให้เด็กๆมาเกิดในหมู่บ้านนี้ จึงแปลงกายเป็นผู้เฒ่าและปรากฎตัวพร้อมกับหมาน้อยตัวหนึ่ง
ผู้เฒ่าถามเด็กน้อยว่า " เด็กน้อยเจ้าบ่นอะไรอยู่เหรอ บอกเรามาเถอะเผื่อเราจะช่วยเจ้าได้ "
เด็กน้อยตอบ " ก็แม่ของฉันนะสิ วันๆชอบใช้ให้ทำงานบ้าน ไม่เคยได้พัก ได้เล่นกับเพื่อนบ้างเลย "
ผู้เฒ่าหยิบก้อนอิฐขึ้นมาสองก้อน " เอ้า ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มาเล่นกับเราสิ เรามาแข่งกันถืออิฐนี้ไว้คนละก้อน ใครถือได้นานกว่ากันคนนั้นชนะ "
เด็กชายเห็นว่าเป็นเรื่องง่ายๆจึงตกลงเล่นด้วย เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เด็กน้อยเริ่มเมื่อยล้า และเบื่อจึงบ่น และขอยอมแพ้



ผู้เฒ่าก็พูดต่อว่า
" งั้นเจ้าเล่นกับลูกสุนัขตัวนี้ไหมหละ แต่ก่อนอื่นเจ้าต้องป้อนนมให้ลูกสุนัขตัวนี้ก่อนนะ "
เด็กน้อยตอบว่าก็ได้ แล้วเริ่มป้อนนมให้ลูกสุนัข ไม่นานลูกสุนัขก็ซนและไม่ยอมอยู่นิ่งเด็กน้อยก็เบื่อ แล้วก็บ่นพาลไม่ป้อนนมต่อ..
ผู้เฒ่าจึงสอนว่า "แม้แต่ก้อนอิฐ 1 ก้อนเจ้าก็ยกได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เทียบไม่ได้กับแม่เจ้าซึ่งต้องอุ้มท้องเจ้าตลอดทั้งวันทั้งคืนนานถึง 9 เดือนก่อนจะคลอดเป็นเจ้าออกมา"
" แล้วยังต้องอดทนเลี้ยงเจ้าตั้งแต่เล็กจนโตขนาดนี้ ขณะที่เจ้าป้อนนมลูกหมาแค่มื้อเดียวก็เบื่อแล้ว "


" การเป็นแม่นั้นลำบากนัก ตั้งแต่อุ้มท้อง และเลี้ยงลูกจนกว่าจะโตการทดแทนบุญคุณด้วยการช่วยการงานเพียงเล็กน้อย ย่อมเทียบไม่ได้กับพระคุณแม่ที่เลี้ยงเรามา "
เด็กน้อยได้ฟังแล้วจึงคิดได้ รีบวิ่งกลับไปหาแม่โดยไม่คิดบ่นอีกเลย..
คติ:พระคุณแม่นั้นมากเหลือคณา จะตอนแทนเท่าไรก็ไม่หมด



เสียงจากคนใกล้ตัว

วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

แล้ว...เมื่อไหร่ฉันจะได้กลับบ้านสักที


การที่ต้องจากบ้านมาไกล เป็นสาเหตุหนึ่งของความเหงาได้ง่าย ๆยามเย็นมองพระอาทิตย์ลับตาอยู่ไกล ๆ อยากจะรู้ว่าคนที่เราห่วงใยสบายดีหรือเปล่า หลายครั้งที่น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่รู้สาเหตุ เวลาที่ทุกข์ เวลาที่เศร้า ไม่มีใครคอยอยู่ข้าง ๆ คอยฟังเรื่องราวและปลอบโยนในเวลาที่ยิ้ม เวลาที่ดีใจ ก็ไม่มีใครมาคอยยินดีกับฉัน
การต่อสู้โลกกว้างเพียงลำพัง เป็นสิ่งที่ฉันใฝ่ฝันและตามหา...เพราะมันนำมาซึ่งประสบการณ์ดี ๆ ในการได้เติบโตและเรียนรู้ด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่น้อยครั้งเหมือนกัน ที่ฉันอยากจะเป็นเด็กน้อย ๆ แล้วกลับไปกอดแม่ ปล่อยน้ำตาให้ไหล ให้แม่คอยปลอบใจว่า "ไม่เป็นไร..แม่อยู่ข้าง ๆ"ซึ่งในความเป็นจริงแล้วก็ยังคงเปล่าว่าง และต้องเช็ดน้ำตาอยู่คนเดียว
แม้ว่าบ้านจะเป็นสถานที่ๆคุ้นเคยจนน่าเบื่อและอยากหนีออกมาแต่ก็ไม่มีที่ไหนอบอุ่นและปลอดภัยมากไปกว่าเตียงนุ่ม ๆ กับผ้าห่มเก่า ๆของฉันอีกแล้ว และมีนางฟ้าเเละเทวดาผู้ใจดี
ที่จะคอยเข้ามาปลอบใจในเวลาที่ฉันสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายกลางดึก มันทำให้ฉันอุ้นใจและรู้ว่าไม่เป็นอะไรเพราะเป็นแค่เพียงฝันร้ายเท่านั้น แต่กับการที่ต้องอยู่ห่างไกลจากบ้าน...เวลาที่สะดุ้งตื่นขึ้นมาไม่มีใครรอบกาย
ไม่มีเสียงที่คอยปลอบใจ และฉันก็ยังสะอื้นต่อไปเพราะไม่รู้ว่าฝันร้ายนั่นจะเป็นความจริงไหม
และฉันก็มักจะนึกถามตัวเองอยู่เสมอว่า...แล้วเมื่อไหร่...ฉันจะได้กลับบ้านสักที...

โลกแห่งความจริง และความฝัน




โลกแห่งความเป็นจริง และ ความฝัน
ถูกสร้างให้เกิดขึ้นมาพร้อมกัน บนที่เดียวกัน แต่อยู่ซ้อนกัน
โลกที่เป็นความจริง
จะปล่อยให้ทุกคน ได้เรียนรู้ทุกอย่างในชีวิตด้วยตัวเอง
จะมีบทเรียนต่างๆ ที่ถูกธรรมชาติออกแบบมาให้ลองทำอย่างมากมาย
บางอย่างก็เลือกที่จะทำได้
แต่บางอย่างก็เลือกไม่ได้
โลกของความเป็นจริง จึงสามารถรู้สึกได้
สัมผัสได้ สุขจริง และเจ็บจริง
เมื่อคนบาดเจ็บกับความเป็นจริง ก็พยายามจะผลักโลกอีกใบให้แยกออกมา
เป็นอาณาเขตที่มีปุยหมอกละอองควันล่องลอย และทำให้การมองเห็นเลือนราง
เป็นที่ที่คนจะหนีไปจากความล้มเหลว แอบซ่อนตัวเองจากความผิดพลาด
และความเจ็บปวดที่ตามมาไม่ถึง
ทุกอย่างจะเต็มไปด้วยความแตกต่าง
คนบางคนที่เคยหายไปจากชีวิต หรือสิ่งที่ทำให้ชีวิตเต็มขึ้น
จะพบเจอได้ในโลกใบนี้
> > โลกแห่งความฝันจึงสวยงาม
สวยงามเฉกเช่นความฝัน
ที่รู้สึกได้ แต่สัมผัสไม่ได้ < < เป็นสิ่งที่ดี หากเรามีโลกไว้สองใบ เมื่อเจ็บกับโลกใบหนึ่ง

เราก็นีไปอยู่ในโลกอีกใบได้ แต่ขณะที่เราใช้ชีวิตอยู่ในโลกความฝัน

ต้องไม่ลืมว่า โลกอีกใบ ก็กำลังหมุนไปอยู่ทุกขณะ มีอะไรเกิดขึ้นมาใหม่ๆ อยู่ทุกวัน

และกำลังรอให้เรากลับไป และชีวิตของคน จะเติบโตได้ในโลกความจริงเท่านั้น

โ ล ก ค ว า ม ฝั น อาจจะเป็นที่ที่ทำให้จิตใจเราสบายขึ้น มีความสุขขึ้น

แต่โลกใบนี้ไม่มีอากาศให้หายใจ ไม่มีอาหารหล่อเลี้ยงชีวิตให้เติบโต

ชีวิตและความเคลื่อนไหวทุกอย่างจะหยุดอยู่กับที่ เราจึงหลีกเลี่ยงการกลับคืนสู่ความจริงไม่ได้

นอกจากจะยอมให้ตัวเองกลายเป็นความฝันไปด้วย



" โ ล ก ข อ ง ค ว า ม ฝั น อ ยู่ ไ ด้ แ ต่ อ ย่ า อ ยู่ น า น " ^ ^ ^

ความพึงพอใจต่อบล็กนี้