วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
ไม่อยากลืมตา..มาเจอความเป็นตริง
เพราะเธอ..ไม่ได้เกิดมาเพื่อฉัน
ว่ากันว่าหัวใจสองดวงได้ถูกกำหนดมาให้คู่กันสำหรับบางคนกว่าจะได้เจอคนนั้นก็ได้มอบความรักให้กับคนที่ไม่ใช่ทำให้ได้เรียนรู้กับความผิดหวังและเจ็บปวดซึ่งบางคนก็โชคดีที่รักแรกและรักสุดท้ายเกิดขึ้นพร้อมกัน
และในวันนี้ที่ฉันได้เจอเธอฉันได้พบคนที่หัวใจฉันเลือกและมอบความรักให้หมดทั้งใจแต่น่าเสียดายที่ฉันไม่ใช่คนนั้นที่เธอมองหาความรักของฉันจึงไม่เคยได้สัมผัสถึงใจเธอเลย
ด้วยความเป็นเพื่อนที่กั้นกลางระหว่างเราทำให้เราอยู่ใกล้กันที่สุดแต่หัวใจเรากลับไกลกันที่สุดฉันเองอยู่ตรงนี้เสมอแต่เธอก็ไม่เคยที่จะมองเห็นสิ่งเดียวที่ฉันทำได้คือคอยแอบมอบความรักและความรู้สึกดีๆให้เธอทีละนิดไปพร้อมๆกับความเป็นเพื่อน
แม้ว่าเธอจะไม่เคยได้รู้สึกและรับรู้ถึงใจฉันและแม้ว่าฉันไม่ได้เกิดมาเป็นคนนั้นในชีวิตของเธอแต่ฉันก็ไม่เคยคิดว่าสิ่งดีๆทั้งหมดที่ฉันมอบให้เธอมันสูญเปล่าเพราะฉันได้ทำดีที่สุดแล้วเพื่อคนที่ฉันรักในวันนี้และสิ่งนั้นก็เป็นความสุขที่สุดของฉันเพราะฉันก็รู้และเข้าใจมันดีว่าเราไม่ได้เกิดมาคู่กัน
วันพุธที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
การทำตัวละครหนังตะลุง
การแกะหรือการทำรูปหนังตะลุงใช้หนังวัว หมายถึงหนังลูกวัวเล็ก ๆ หรืออาจจะเป็นหนังแพะดิบ มาขูดทั้งด้านนอกและด้านในให้ขนและเยื้อออกให้หมด ขูดให้บางจนกระทั่ง แสงสว่างลอดได้ ขึงกรอบตากแห้ง หรือถ้าหากว่าการกระทำเช่นนี้ทำให้เสียเวลามาก ก็อาจจะซื้อหนังลูกวัวบางสำเร็จรูปมาทำก็ได้ ขั้นแรกของการทำก็คือ การออกแบบ หมายถึง การเขียนภาพที่ต้องการลงในกระดาษเขียนแบบ เมื่อเขียนเสร็จแล้วก็เข้าแบบ คือใช้แบบที่ออกแล้ววางซ้อนกัน 2 - 3 แผ่น เพื่อเป็นการทุ่นเวลาในการทำ หลังจากนั้น ก็ใช้สิ่วตุ๊ดตู่ตามขนาดที่ต้องการ สลักลวดลายไปตามแบบ โดยมีเขียงรองสลักอยู่เป็นพื้นล่าง เมื่อใช้ตุ๊ดตู่แกะลวดลายที่ต้องการเสร็จแล้ว ก็ใช้มีดแกะหรือขูด เนื้อที่ในรูปหนังที่ไม่ต้องการออก จนภาพหลุดออกไปเป็นตัวหนัง มีดที่ใช้ส่วนมากใช้ใบเลื่อยเหล็กที่ไม่ใช้แล้ว มาลับให้คมและมีปลายแหลม แล้วเข้าด้ามให้จับได้ถนัดมือในเวลาขุด หรือแกะพื้นออก การขุดหรือแกะพื้นออกนี้ มีสิ่งที่ควรระมัดระวังให้มาก จะต้องพยายามให้ลวดลายต่าง ๆ คมและสวยงาม ซึ่งจะต้องอาศัยความชำนาญ ความประณีตให้มากนั่นเอง เมื่อแกะภาพได้สำเร็จแล้ว ก็นำไประบายสีตามลักษณะของตัวละคร เช่น พระรามก็ทากายสีเขียว สุครีพก็ทากายสีแดง เป็นต้น
วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
ความสุข..กับการแอบรัก
ความสุขที่ว่านั้นอาจเกิดขึ้นจากการได้จินตนาการว่า
เราอาจจะไม่ใช่คนที่โชคดีที่จะได้ครอบครองทั้ง"ตัว"และ"ใจ"ของเขา
ความรักในมุมเงียบนี้สอนให้คนปล่อยวาง
บอกกับตัวเองว่าจะไม่ร้องไห้อีก
ไม่มีใครทำร้ายเราได้ไม่ใช่เหรอ เพียงแค่เราไม่ใส่ใจ
นั่นแหละคือสิ่งที่ทำได้ยากที่สุด...........
ทำไมเราต้องปล่อยให้ความรู้สึกล่องลอยจนยากจะควบคุม
ทำไมถึงได้ยอมให้ใครมามีอิทธิพลต่อความรู้สึกได้มากมาย
รัก...รักเหรอ แล้วงัย
ก่อนมีเขาเราก็อยู่ของเรามาได้
ก็แค่กลับไปที่จุดเดิม
ก็ต้องอยู่ได้เหมือนกัน
ก็แค่รอให้มันจางไป...เมื่อไหร่กัน
ใครที่กำลังท้อแท้..ลองดูนี่สิ
แต่มันไม่จริงเสมอไปที่เราคิดว่าเราทำไม่ได้เพราะเรายังไม่ลองพยายาม
และลงมือทำต่างหากลองดูหอยทากตัวนี้สิเขาเป็นสัตว์ไม่มีเเขนไม่มีขา
แต่เขายังพยายามที่จะเดินไปข้างหน้าอย่างความไม่เกรงกลัว
ต่ออุปสรรค์ พยายามที่ผ่านไปให้ได้แล้วเราละเป็นคนแท้ๆมีแขนมีขา
แต่กลับดูถูกตัวเองว่าทำไม่ได้ทำไมไม่ลองที่จะใช้ความพยายามพา
เราผ่านอุปสรรค์ทั้งหลายไป
รักมีคำตอบ..ในตัวของมันเอง
แต่ก็แฝงไปด้วย ความทุกข์ สุขเพราะได้รักใครคนหนึ่งอย่างสุดหัวใจ
และได้คิดถึงเขาทุกลมหายใจ แต่ใน ความรัก ที่เต็มไปด้วยที่สุดนั้น
ก็มักจะทำให้เราเจ็บปวด คุณเคยร้องไห้เพราะรักใครสุดหัวใจ
และเคยต้องร้องไห้เพราะคิดถึงใครคนหนึ่ง อย่างที่ไม่รู้ว่าเขาคนนั้น
จะคิดถึงเราบ้างหรือเปล่า เราไม่สามารถหาคำตอบได้
แต่ ความรัก มันจะมีคำตอบอยู่ในตัวของมัน"
ท่องเที่ยวเชิงเกษตร...จิมทอมสัน ฟร์ม
ในปี พ.ศ. 2531 จากอำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมาอันเลื่องชื่อในเรื่องผ้าไหมไปเพียง 25กิโลเมตร จิม ทอมป์สัน ฟาร์มได้ถือกำเนิดขึ้นบนพื้นที่กว่า 600 ไร่บนเชิงเขาพญาปราบ ตำบลตะขบ
โดยเริ่มจากเป็นแหล่งผลิตไข่ไหมจำหน่ายให้สมาชิกเกษตรกรเพื่อรับซื้อรังสดในการผลิตเส้นไหม
และเป็นพื้นที่ปลูกหม่อนอันเป็นอาหารหลักของหนอนไหม และเมื่อย่างเข้าปี พ.ศ.2544 จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม จึงได้เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรปีละครั้งในเดือนธันวาคมให้บุคคลทั่วไปที่หลงใหลในธรรมชาติ ได้ชื่นชมบรรยากาศอันงดงามและเรียนรู้ประสบการณ์ด้านการเกษตร พร้อมเรียนรู้วงจรชีวิตของหนอนไหม ชมแปลงพืชผักและดอกไม้สีสวยสดนานาชนิด รวมถึงเลือกซื้อไม้ดอกไม้ประดับและผลผลิตทางการเกษตร ปลอดสารพิษซึ่งปลูกด้วยความเอาใจใส่จากเหล่าเกษตรกรของจิมทอมป์สัน ฟาร์ม
รายละเอียดเกี่ยวกับการท่องเที่ยวฟาร์มจิมทอมสัน
การเดินทางและรายละเอียดการเข้าชม
ย้อนรอย...ขนมไทย
ประวัติความเป็นมาของขนมไทย
ขนมจัดเป็นอาหารที่คู่สำรับกับข้าวไทยมาตั้งแต่ครั้งโบราณ
โดยใช้คำว่าสำรับกับข้าวคาว-หวานโดยทั่วไปประชาชนจะทำขนมเฉพาะในงานเลี้ยง นับตั้งแต่การทำบุญเลี้ยงพระ งานมงคลและงานพิธีการ อาหารหวานที่จัดเป็นสำรับ จะต้องประกอบด้วย ของหวานอย่างน้อย 5 สิ่ง ซึ่งต้องเลือกให้มีรสชาติ สีสัน ชนิด ตลอดจนลักษณะที่กลมกลืนกัน แต่ละสำรับจะต้องมีผลไม้ 10 ที่และขนมเป็นน้ำ 1 ที่เสมอ
ประเทศไทยครั้งยังเป็นสยามประเทศได้ติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติ
เช่น จีน อินเดีย มาตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยส่งเสริมการขายสินค้าซึ่งกันและกัน
ตลอดจนแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมด้านอาหารการกินร่วมไปด้วย
ต่อมาในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ ได้มีการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่างๆ อย่างกว้างขวางไทยได้รับเอาวัฒนธรรมด้านอาหารของชาติต่างๆ
มาดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่น วัตถุดิบที่หาได้ เครื่องมือเครื่องใช้
ตลอดจนการบริโภคนิสัยแบบไทย ๆ จนทำให้คนรุ่นหลัง ๆ แยกไม่ออกว่า
อะไรคือขนมที่เป็นไทยแท้ๆและอะไรดัดแปลงมาจากวัฒนธรรมของชาติอื่น
เช่น ขนมที่ใช้ไข่และขนมที่ต้องเข้าเตาอบ ซึ่งเข้ามาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จากคุณท้าวทองกีบม้าภรรยาเชื้อชาติญี่ปุ่น สัญชาติโปรตุเกสของเจ้าพระยาวิชเยนทร์ ผู้เป็นกงสุลประจำประเทศไทยในสมัยนั้น
ไทยมิใช่เพียงรับทองหยิบ ทองหยอด และฝอยทองมาเท่านั้น หากยังให้ความสำคัญกับขนมเหล่านี้โดยใช้เป็นขนมมงคลอีกด้วย ส่วนใหญ่ตำรับขนม ที่ใส่มักเป็น "ของเทศ" เช่น ทองหยิบ ฝอยทอง ทองหยอดจากโปรตุเกส มัสกอดจากสกอตต์ขนมไทย เป็นเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมประจำชาติไทย อย่างหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดีเพราะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความละเอียดอ่อนประณีตในการทำ ตั้งแต่วัตถุดิบ วิธีการทำ ที่กลมกลืน พิถีพิถัน ในเรื่องรสชาติ สีสัน ความสวยงาม กลิ่นหอม รูปลักษณะชวนรับประทานตลอดจนกรรมวิธีการรับประทาน ขนมแต่ละชนิด ซึ่งยังแตกต่างกันไปตามลักษณะของขนมชนิดนั้นๆขนมไทยที่นิยมทำกันทุกๆ ภาคของประเทศไทย ในพิธีการต่างๆ เนื่องในการ ทำบุญเลี้ยงพระ ก็คือขนมจากไข่ และมักถือเคล็ดจากชื่อและลักษณะของขนมนั้นๆ งานสิริมงคลต่างๆเช่น งานมงคลสมรส ทำบุญวันเกิด หรือทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ส่วนใหญ่ก็จะมีการเลี้ยงพระกับแขกที่มาในงาน เพื่อเป็นสิริมงคลของงานขนมก็จะมี ฝอยทอง เพื่อหวังให้อยู่ด้วยกัน ยืดยาวมีอายุยืน ขนมชั้น ก็ให้ได้เลื่อนขั้นเงินเดือน ขนมถ้วยฟูก็ขอให้เฟื่องฟู ขนมทองเอกก็ขอให้ได้เป็นเอก เป็นต้น
ท่องเที่ยว...เกาะช้าง
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง ประกอบด้วยเกาะใหญ่น้อยมากกว่า 40 เกาะ ทั้งยังมีเกาะที่เป็นโขดหินกลางทะเลอีกจำนวนมาก โดยมีเกาะช้างเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงของจังหวัดตราด ตั้งอยู่ในท้องที่อำเภอเกาะช้างและอำเภอเกาะกูด จังหวัดตราด เกาะหลายแห่งมีทิวทัศน์สวยงาม หาดทรายขาว และน้ำทะเลใสสะอาด เช่น เกาะง่าม บางแห่งมีปะการังใต้น้ำที่คงความสมบูรณ์ตามธรรมชาติ เช่น เกาะหวาย และหมู่เกาะรัง
สถานที่ท่องเที่ยวบนเกาะช้าง
ยุทธนาวีเกาะช้าง
น้ำตกธารมะยม
น้ำตกคลองพลู
หมู่บ้านประมงบางเบ้า
หาดทรายขาว ค้นหาโรงแรมรีสอร์ทที่หาดทรายขาว
อ่าวใบลาน
วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
แค่คนที่เธอ..มองผ่าน
เห็นไหม?ว่าฉันอยู่ตรงนี้
ฉันอาจดูไร้ตัวตนสำหรับเธอ
แต่ในทุกๆที่ ไม่ว่าเธอจะ สุข หรือเศร้า เพียงใด
ฉันอยู่ข้างเธอเสมอ
แม้เธอไม่เคยมองเห็นฉัน
ฉันหัวเราะไปกับเธอ ร้องไห้ไปกับเธอ
ฉันยิ้มให้เธอเมื่อเธอสุขใจ
ฉันโอบกอด และเช็ดน้ำตา เมื่อเธอเศร้าใจ
แม้ว่าเธอไม่เคยรับรู้ มันเลยก็ตาม
ฉันเฝ้า ตะโกนร้อง
"ฉันอยู่ตรงนี้ มองมาสิ มองมาที่ฉัน เธอเห็นฉันไหม?"
หวังว่าเพียงสักครั้ง ที่เธอจะหันมองมา
และรับรู้ถึงการมีตัวตนของฉัน
ทุกครั้งสายตาที่ว่างเปล่าของเธอ ก็มองผ่านทะลุตัวฉันไป
แต่ฉันก็ไม่ท้อใจหรอกนะ ก็หวังว่าสักวัน
อ้อมกอดของฉัน จะสามารถส่งความอบอุ่นไปถึงใจเธอ
ยิ้มบางๆ ที่มุมปาก เกิดขึ้นเพียงเพราะได้เห็นเขาเดินผ่านไป
ยิ้มบางๆ ที่มุมปาก เริ่มขยายกว้างขึ้น เมื่อเขาเข้ามาทักทาย พูดคุย ห่วงใย
และยิ้มบางๆ ที่มุมปาก กลายเป็นรอยยิ้มส่วนหนึ่งในตัวเราเพียงแค่ได้เห็นเขาจากด้านหลัง
คำถามถึงดินฟ้าอากาศ เรื่องงาน ถามหาคนรู้จัก ดูจะเป็นเรื่องที่ทำให้ยิ้มได้เสมอ เพียงแค่นึกถึงว่า...วันนี้ เราได้คุยอะไรกันบ้าง?
บางวัน...มีเรื่องที่ตื่นเต้นจนทำให้ แก้มแทบปริ...เมื่อเขาคนนั้น เพียงโทรศัพท์มาหา เพราะมีธุระจำเป็นต้องคุยด้วย แค่เห็นชื่อบนหน้าจอโทรศัพท์ ยังไม่ทันรับ ก็ทำให้ยิ้มนั้นกว้างเกินจะบรรยายแล้ว คงต้องใช้เวลาสัก 10 วินาที ในการตั้งสติ ตบกรามที่ค้างเพราะยิ้มมากเกินให้หายปวด หุบยิ้มลงเพียงเล็กน้อย เพื่อไม่ให้เขาจับกระแสเสียงอันตื่นเต้น ดีใจเหล่านั้นได้
ยิ้มแก้มแทบแตกกับข้อความสั้นๆ ที่เขาส่งมาตามมารยาท หลังจากที่เราส่งข้อความดีดีไปให้เขาก่อนอย่างแนบเนียนในช่วงเทศกาล หรือรู้ว่าเขากำลังเดินทางไปไหนไกลๆ เพียรอ่านข้อความเหล่านั้นซ้ำไปซ้ำมา ไม่รู้จักเบื่อ แม้ว่าข้อความนั้นแสนจะสั้น ไม่มีอะไรพิเศษ คำขอบใจเล็กๆ น้อยๆ คำบอกเล่าว่า รับสายไม่ได้ เดี๋ยวโทรกลับ ไม่ได้หวาน แต่ช่างทำให้หัวใจพองโตได้อย่างประหลาด
จำทุกรายละเอียดที่เกี่ยวกับเขา ทุกอย่างที่เขาชอบ สถานที่ อาหาร สิ่งของ ธรรมชาติ สิ่งรอบๆ ตัวเล็กๆ น้อย จำได้หมด จำได้ดีกว่าสิ่งที่ตัวเองชอบด้วยซ้ำไป จำทุกอย่างที่เขาเป็น บุคลิกการเดิน ลักษณะการพูด การคุย สำเนียงเวลาปกติ ป่วย เครียด เศร้า สนุก ดีใจ มีความสุข รู้หมดทุกอย่าง รู้แม้กระทั่งบุคลิกของคนที่เขาชอบ
ความรู้สึกที่ไปไกลเกินกว่าจะฉุดรั้ง เพราะการไม่ห้ามหัวใจตัวเองเริ่มน่าเป็นห่วงหนักขึ้น เมื่อเห็นว่า เขาเริ่มมีใคร และเริ่มมีใครบางคนอยู่ข้างกายเสมอ โดยที่ไม่เคยจะมีสักครั้งที่คนคนนั้นจะเป็น "ฉันเอง" ยิ้มกว้างๆ แลจะกลายเป็น ยิ้มเศร้า ที่ฝืนและฝืดเต็มทน ที่จะต้องแสดงความยินดีกับรักครั้งใหม่ของเขาทุกครั้งไป
นั่นเลยเป็นเหตุผลที่คนแอบรัก ต้องเงียบเฉย เพราะรู้ว่า ไม่ทางที่จะเป็น "คนนั้นของเขา" ไปได้ และเสี่ยงเกินไปที่จะเผยความในใจ เพราะอาจทำให้มิตรภาพดีดี ต้องสูญเสียไปในชั่วพริบตา แต่ใครเลยจะรู้บ้างว่า แท้จริงแล้ว เขารู้สึกเช่นไร? บางทีนะ บางที...เขาอาจจะรู้สึกเช่นเดียวกับเราก็เป็นได้ แต่ก็เลือกที่จะไม่แสดงออกมาเช่นเดียวกัน และในอีกมุมหนึ่ง...เขาเองก็ไม่ได้คิดอะไรเกินเพื่อน หรือเกินความเป็นรุ่นพี่ รุ่นน้องกับเราเลย มันเป็นความสับสนกับการจัดการความก้าวหน้าในความสัมพันธ์ของ "คนแอบรัก" เพราะความที่เราสนิทกันมากเกินกว่าจะกล้าเอ่ยความรู้สึกจริงๆ ในใจออกไปว่า "ฉันรักคุณ ฉันชอบคุณมาตั้งนานแล้ว" เมื่อเขาเองไม่เคยส่งสัญญาณใดๆ ให้เรารู้สึกว่าเขาเองก็คงรู้สึกดีกับเราไม่น้อย แต่ถ้าเขาเองก็รู้สึก และรอสัญญาณจากเราบ้างละ เราก็คงต้องสูญเสียความรักครั้งนี้ไป เพียงเพราะเราเลือกที่จะนิ่งเฉยกันทั้งคู่ แต่บางครั้ง การที่ผู้หญิงจะเป็นฝ่าย ส่งสัญญาณ ก่อน ดูเหมือนจะแปลกอยู่ไม่น้อย นั่นเป็นความรู้สึกที่ฉันคิดและเป็นมาตลอด...ฉันจะปิดบังความรู้สึกที่มีต่อใครคนหนึ่งไว้อย่างแนบเนียน และสุดท้ายนี้ตัวฉันเองก็ทำได้เพียงแค่แอบมองเธอในตรงที่ๆฉันควรจะยืน และได้มีความสุขกับการได้แอบรักเธอ
วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553
มงคลชีวิต 38 ประการ
พระอานนท์เถราจารย์ท่านกล่าวไว้ พระพุทธองค์ไขเทวดามาทูลถามผู้มีจิตเลื่อมใสใฝ่ทำตาม จะเพิ่มความสวัสดีมีมงคล
1 ไม่คบพาลกันพาไปหาผิด 2 คบบัณฑิตท่านพาหามรรคผล 3 การบูชาผู้มีคุณค้ำจุนชน เป็นมงคลพิพัฒน์สวัสดี 4 อยู่ในประเทศที่ดีมีพุทธสอน 5 บุญปางก่อนส่งมาเสริมราศี 6 ตั้งตนไว้ธรรมนำชีว แนวทางที่ประเสริฐเลิศมงคล 7 ความเป็นคนคงแก่เรียนเพียรใฝ่รู้ 8 ศิลปอยู่ที่ใจใช้เหตุผล 9 วินัยดี ศึกษาดี มีในตน 10 คำมงคลสุภาษิตเตือนจิตดี11 การบำรุงมามารดาบิดาค่าสูงสุด 12 สงเคราะห์บุตรให้ประจักษ์เป็นศักดิ์ศรี13 การสงเคราะห์คู่ครองพี่น้องดี14 การงานที่ไม่คั่งค้างสร้างมงคล 15 การให้ทานมีบุญมาจุนค้ำ 16ปรพฤติธรรมนำใจใฝ่กุศล17 การสงเคราะห์ญาติสนิทมิตรทุกคน 18 งานของตนไม่มีโทษโปรดจดจำ19 เว้นจากบาปทุกอย่าง ทางทุจริต 20 สำรวมจิตสิ่งมึนเมาเราอย่าถลำ 21 ไม่ประมาทพลาดพลั้งห่างจากธรรม มงคลล้ำมงคลเลิศเขิดชูใจ 22การเคารพผู้ใหญ่คุณวัยวุฒิ 23ดีที่สุดการถ่อมตนผลผ่องใส 24 ความพอเพียงเป็นเศรษฐีที่ภูมิใจ 25ดวงหทัยยึดมั่นกตัญญู26การฟังธรรมตามการสานความคิด 27หมั่นฝึกจิตทนได้ไม่อดสู 28ความเป็นคนสอนง่ายให้เชิดชู 29ยามได้ดูสมณะจะสุขใจ 30สนทนาธรรมตามกาลสำราญยิ่ง 31ขยันจริงพ้นทุกข์พบสุขใน 32การประพฤติพรมห์จรรย์หมั่นฝึกใจ 33 ได้กำไรอริยสัจชัดเจนดี 34การกระทะพระนิพานนั้นให้แจง 35จิตไม่แกว่งเพราะโลกกระธรรมนำวิถี 36ไม่เศร้าโศกหวั่นไหวทั้งร้ายดี 37 ผงธุลีในดวงใจมลายพลัน 38จิตเกษมเปรมปรีด์มีสุขยิ่งมงคลจริงอยู่ที่ใจใฝ่สุขสันต์ที่มนุษย์เทวดาแสวงหากันความดีนั้นสวัสดีมีมงคล
ของดีเมืองโคราช
ด่านเกวียน เป็นตำบลหนึ่งขึ้นอยู่กับอำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา เดิมอำเภอโชคชัยเป็นเมืองหน้าด่าน เรียกว่า "ด่านกระโทก"อยู่ในเส้นทางการค้าระหว่างโคราชกับเขมร ต่อมาได้รับการยกฐานะเป็น"อำเภอกระโทก"เมื่อปี พ.ศ.2446มีขุนอภัยอนุรักษ์เขต (2446-2450) เป็นนายอำเภอคนแรก ต่อมาในปี พ.ศ.2482 ทางราชการได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "อำเภอโชคชัย" เพื่อยกย่องวีรกรรมของพระเจ้าตากสินมหาราชเมื่อครั้งยกทัพมาปราบเจ้าเมืองพิมาย และได้รับชัยขนะ ณ บริเวณที่ตั้งอำเภอโชคชัย ด่านเกวียน เป็นชุมชนขนาดใหญ่อยู่ริมฝั่งลำน้ำมูลห่างจากอำเภอเมืองนครราชสีมาประมาณ 15 กิโลเมตร เมื่อสมัยก่อนเป็นที่พักของกองเกวียนบรรทุกสินค้าต่างๆ ที่จะเดินทางค้าขายระหว่างโคราชกับเขมร โดยผ่านทางนางรอง เมืองปัก บุรีรัมย์ สุรินทร์ ขุขันธ์ ขุนหาญ จนถึงเขมร การทำเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนมีมาตั้งแต่เมื่อใดไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัดบรรพบุรุษของชาวด่านเกวียนเล่าให้ฟังสืบๆ กันมาหลายชั่วอายุคนว่าเดิมชาวด่านเกวียนมีอาชีพทำนา ทำไร่ อยู่ริมฝั่งลำน้ำมูลและเรียนรู้การทำเครื่องปั้นดินเผาจาก "ชาวข่า"ซึ่งเป็นชาวเขาเผ่าหนึ่งตระกูล มอญ-เขมร เป็นชนพื้นเมืองเดิม ที่มีถิ่นฐานอาศัยอยู่แถบลุ่มแม่น้ำโขง โดยมีศูนย์กลางความเจริญอยู่ที่เมืองจำปาศักดิ์ ชาวข่าส่วนใหญ่ได้อพยพจากถิ่นฐานเดิมเข้ามาทำมาหากินในดินแดนแถบนี้และได้นำดินมาปั้นเป็นภาชนะและเผาไว้ใช้สอยในครัวเรือนเช่น โอ่ง กระถาง ไห ครก รอฝนยา เป็นต้น ต่อมาเมื่อ พ.ศ.2500 การผลิตเครื่องปั้นดินเผาตามวิถีชีวิตดั้งเดิมเริ่มเข้าสู่ยุคการเปลี่ยนแปลง วิธีการผลิตเมื่อวิทยาลัยเทคนิคภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้สำรวจพบว่าดินด่านเกวียนมีคุณสมบัติพิเศษ คือ มีแร่เหล็กผสมอยู่ เมื่อเผาที่อุณหภูมิประมาณ 1,200 องศาเซลเซียส ทำให้แร่เหล็กละลายออกมาเคลือบผิว ทำให้เครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนมีลักษณะเป็นสีสัมฤทธิ์ มันวาว เมื่อเคาะจะมีเสียงดังกังวาน ปัจจุบันหมู่บ้านเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียนมีชื่อเสียงมากในฐานะที่ผลิตเครื่องปั้นดินเผาได้สวยงามมีรูปแบบที่แปลก
เพลงโคราช
เพลงพื้นบ้านของชาวนครราชสีมามีหลายอย่าง เช่น เพลงกล่อมลูกเพลงกลองยาว(เถิดเทิง) เพลงเซิ้งบั้งไฟเพลงแห่นางแมว เพลงปี่แก้วเพลงหม่งเหม่ง เพลงลากไม้ เพลงเชิดเพลงช้าเจ้าหงส์ดงลำไยแต่เพลงที่เล่นกันแพร่หลายและมีอายุยืนยาวมาจนถึงปัจจุบันนี้ คือ เพลงโคราช
เพลงโคราชจะเริ่มเล่นตั้งแต่เมื่อใด ไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัด หลักฐานจากคำบอกเล่าต่อ ๆ กันมา มีเพียงว่า สมัยท้าวสุรนารี ( คุณย่าโม ) ยังมีชีวิตอยู่ ( พ.ศ. 2313 ถึง 2395 ) ท่นชอบเพลงโคราชมาก เรื่องราวของเพลงโคราชได้ปรากฏหลัดฐานชัดเจน คือในปี พ.ศ. 2456 ที่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระราชชนนีพันปีหลวง เสด็จมานครราชสีมาทรงเปิดถนนจอมสุรางค์ยาตร์ และเสด็จไปพิมาย ในโอกาสรับเสด็จครั้งนั้น หมอเพลงชายรุ่นเก่าชื่อเสียงโด่งดังมากชื่อนายหรี่ บ้านสวนข่า ได้มีโอกาสเล่นเพลงโคราชถวาย เพลงที่เล่นใช้เพลงหลัก เช่น กลอนเพลงที่ว่า " ข้าพเจ้านายหรี่อยู่บุรีโคราชเป็นนักเลงเพลงหัด บ่าวพระยากำแหง ฯ เจ้าคุณเทศา ท่านตั้งให้เป็นขุนนาง .....ตำแหน่ง " ความอีกตอนเอ่ยถึงการรับเสด็จว่า " ได้สดับว่าจะรับเสด็จเพื่อเฉลิมพระเดชพระจอมแผ่นดิน โห่สามลา ฮาสามหลั่นเสียงสนั่น....ธานินทร์ "( สมเด็จพระพันปีหลวง ทรงเป้นผู้บังคับการพิเศษประจำกรมทหารม้านครราชสีมา จนถึง พ.ศ. 2462 เมื่อเสด็จนครราชสีมา นายหรี่ สวนข่า ก็มีโอกาสเล่นเพลงถวาย ) เพลงโคราชมีโอกาสเล่นถวายหน้าพระที่นั่งในงานชุมนุมลูกเสือครั้งที่ 1 ในนามการแสดงมหรสพของมณฑลนครราชสีมา เกี่ยวกับกำเนิดของเพลงโคราช มีทั้งที่เป็นคำเล่าและตำนานหลักฐานจากคำบอกเล่าของหมอเพลงอีกจำนวนหนึ่งเล่าต่อ ๆ กันมาว่า ในสมัยรัตนโกสินทร์มีสงครามระหว่างไทยกับเขมร เมื่อไทยชนะสงครามเขมรครั้งไร ชาวบ้านจะมีการเฉลิมฉลองชัยชนะ ด้วยการขับร้องและร่ายรำกันในหมู่สกที่เขาเรียกว่า " ซุมบ้านสก " ใกล้ ๆ กับชุมทางรถไฟ ถนนจิระและเริ่มเล่นเพลงโคราชกันที่หมู่บ้านนี้ ท่าทางการรำรุกรำถอย และการป้องหู มีผู้สันนิษฐานว่าประยุกต์มาจากการเล่นเจรียง ที่เป็นเพลงพื้นบ้านของชาวสุรินทร์ผสมผสาน กับเพลงทรงเครื่องของภาคกลาง
เพลงโคราชจากอดีตถึงปัจจุบัน
สมัยก่อนนั้น เพลงโคราชเป็นที่นิยมมาก เพราะการแสดงมหรสพ ที่เป็นหัวใจของงานฉลองสมโภชใด ๆ ก็ตาม มีเพลงโคราชเพียงอย่างเดียว คนฟังเพลงก็มีเวลามาก ฟังกันตั้งแต่หัวค่ำจนรุ่งเช้า เมื่อหมอเพลงเล่นเพลงลา คือลาผู้ฟังลาเจ้าภาพ และเพื่อนหมอเพลงด้วยกัน จะมีปี่พาทย์ ฆ้อง กลอง บรรเลงรับ หมอเพลงจะรำตามกัน ไปยังบ้านเจ้าภาพ เจ้าภาพก็นำเงินค่าหมอเพลงมาให้ พร้อมทั้งเลี้ยงข้าวปลา อาหาร และห่อข้าว ของกินต่าง ๆ ให้เป็นเสบียง ในการเดินทางกลับ คนฟังจะอยู่ร่วมฟังงาน จนเสร็จสิ้นกระบวนการ จึงทยอยกลับเช่นกัน เพลงโคราชสมัยก่อน ได้ไปเล่นหลายจังหวัด เช่น บุรีรัมย์ เพชรบูรณ์ พิษณุโลก สุรินทร์ ตลอดจนถึงประเทศกัมพูชา สำหรับจังหวัดต่าง ๆ ในภาคกลาง ก็ไปเล่นเป็นครั้งคราว ปัจจุบันค่านิยมของผู้ฟัง เปลี่ยนแปลงไปมาก แม้แต่ผู้ฟัง ในจังหวัดนครราชสีมาเอง ก็เสื่อมความนิยมลงมาก บ้างก็เห็นว่า เพลงโคราช เป็นเพลงหยาบคาย และไม่น่าสนใจ แม้ทางราชการส่งเสริม ให้นำออกแสดง ทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดนครราชสีมา ก็ต้องผ่านการตรวจ อย่างรัดกุม จะใช้ภาษาตรง ๆ เหมือนสมัยก่อนไม่ได้ถือว่าไม่เหมาะสมในการจัดงานฉลองสมโภชใดๆ มักจะมีมหรสพอื่นๆ เป็นคู่แข่งมากมาย เช่น ภาพยนตร์ มวย เพลงลูกทุ่ง ลิเก และรำวง เพลงโคราชจึงเป็นที่สนใจ สำหรับผู้ฟังรุ่นเก่าที่มีอายุค่อนข้างสูงแทบทั้งนั้น หมอเพลงโคราช ได้รวมตัวกัน เป็นคณะเพลงโคราช หลายคณะ และเข้ามาตั้งสำนักงานคณะ อยู่ในอำเภอเมืองเป็นส่วนใหญ่ เพื่อความสะดวก สำหรับมาติดต่อ หาเพลงไปเล่น หมอเพลงโคราช ต้องเล่นเพลงประยุกต์ ตามใจผู้ฟัง เช่น เล่นเพลงหมอลำ เล่นเพลงลำตัด และเพลงลูกทุ่ง พูดถึงท่ารำแตกต่างกันไป มีเพลงโคราชของคณะทองสุข กำปัง ที่ประยุกต์ เล่นแบบลำเพลิน คือนำเอาดนตรีสากล เข้ามาประกอบ แต่ยังไม่เป็นที่แพร่หลายนัก การรวมตัวกันเป็นคณะเพลงโคราชปัจจุบันนั้น นางสองเมือง อินทรกำแหง เป็นผู้ริเริ่มตั้งขึ้นเป็นคนแรก เมื่อปี พ.ศ. 2499 ตั้งอยู่ที่ ถนนสุรนารายณ์และต่อมาก็มีคณะต่าง ๆ ตั้งขึ้นอีกหลายคณะ ข้อดีคือ ทำให้สะดวก ในการติดต่อจ้างไปเล่น ข้อไม่ดีคือ เมื่อหมอเพลงอยู่คณะเดียวกัน ก็รู้ชั้นเชิงและฝีปากกัน ทำให้ฟัง ไม่สนุกสนาน มีผู้พยายามจะรวมคณะเพลงโคราชต่าง ๆ ก่อตั้งเป็นสมาคมเพลงโคราช แต่ยังไม่ได้รับความร่วมมือ จากหมอเพลงเท่าที่ควรจากความเชื่อที่ว่า ท่านท้าวสุรนารี ( คุณหญิงโม หรือ ย่าโมที่ชาวบ้านเรียกท่าน ) ชอบเพลงโคราช ในสมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่ จึงมีผู้หาเพลงโคราชไปเล่นให้ท่านฟัง เป็นการแก้บน ณ บริเวณใกล้ ๆ กับอนุสาวรีย์ ในตอนกลางคืนเป็นประจำ อาจเป็นปัจจัยหนึ่ง ที่ทำให้คนรุ่นใหม่ ได้รู้จักเพลงโคราช และหมอเพลงมีรายได้ประจำ แต่ก็มีผู้สนใจไปฟังไม่มากนัก พูดถึงการดำเนินชีวิตของหมอเพลงรุ่นปัจจุบัน ส่วนใหญ่อาชีพทำนา และเล่นเพลงเป็นอาชีพรอง แต่หมอเพลง ที่มีชื่อเสียงเช่น ลอยชาย แพรกระโทก, ลำดวน จักราช, ทองสุข กำปัง, นกน้อย วังม่วง, รำไพ หัวรถไฟ ต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า การประกอบอาชีพ ของหมอเพลงโคราชยังทำรายได้ดี ยังเป็นอาชีพที่มั่นคงอยู่ หมอเพลงดังกล่าวนี้ แม้จะประกอบอาชีพอื่น เช่น ทำนา ทำไร่ เป็นนักธุรกิจ แต่อาชีพหลักคือเล่นเพลงโคราช
วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553
พระคุณแม่..ทดแทนไม่หมด
เดือดร้อนถึงเทพผู้ให้กำเนิด ซึ่งเป็นผู้จัดให้เด็กๆมาเกิดในหมู่บ้านนี้ จึงแปลงกายเป็นผู้เฒ่าและปรากฎตัวพร้อมกับหมาน้อยตัวหนึ่ง
ผู้เฒ่าถามเด็กน้อยว่า " เด็กน้อยเจ้าบ่นอะไรอยู่เหรอ บอกเรามาเถอะเผื่อเราจะช่วยเจ้าได้ "
เด็กน้อยตอบ " ก็แม่ของฉันนะสิ วันๆชอบใช้ให้ทำงานบ้าน ไม่เคยได้พัก ได้เล่นกับเพื่อนบ้างเลย "
ผู้เฒ่าหยิบก้อนอิฐขึ้นมาสองก้อน " เอ้า ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มาเล่นกับเราสิ เรามาแข่งกันถืออิฐนี้ไว้คนละก้อน ใครถือได้นานกว่ากันคนนั้นชนะ "
เด็กชายเห็นว่าเป็นเรื่องง่ายๆจึงตกลงเล่นด้วย เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เด็กน้อยเริ่มเมื่อยล้า และเบื่อจึงบ่น และขอยอมแพ้
ผู้เฒ่าก็พูดต่อว่า
" งั้นเจ้าเล่นกับลูกสุนัขตัวนี้ไหมหละ แต่ก่อนอื่นเจ้าต้องป้อนนมให้ลูกสุนัขตัวนี้ก่อนนะ "
เด็กน้อยตอบว่าก็ได้ แล้วเริ่มป้อนนมให้ลูกสุนัข ไม่นานลูกสุนัขก็ซนและไม่ยอมอยู่นิ่งเด็กน้อยก็เบื่อ แล้วก็บ่นพาลไม่ป้อนนมต่อ..
ผู้เฒ่าจึงสอนว่า "แม้แต่ก้อนอิฐ 1 ก้อนเจ้าก็ยกได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เทียบไม่ได้กับแม่เจ้าซึ่งต้องอุ้มท้องเจ้าตลอดทั้งวันทั้งคืนนานถึง 9 เดือนก่อนจะคลอดเป็นเจ้าออกมา"
" แล้วยังต้องอดทนเลี้ยงเจ้าตั้งแต่เล็กจนโตขนาดนี้ ขณะที่เจ้าป้อนนมลูกหมาแค่มื้อเดียวก็เบื่อแล้ว "
" การเป็นแม่นั้นลำบากนัก ตั้งแต่อุ้มท้อง และเลี้ยงลูกจนกว่าจะโตการทดแทนบุญคุณด้วยการช่วยการงานเพียงเล็กน้อย ย่อมเทียบไม่ได้กับพระคุณแม่ที่เลี้ยงเรามา "
เด็กน้อยได้ฟังแล้วจึงคิดได้ รีบวิ่งกลับไปหาแม่โดยไม่คิดบ่นอีกเลย..
คติ:พระคุณแม่นั้นมากเหลือคณา จะตอนแทนเท่าไรก็ไม่หมด
วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553
แล้ว...เมื่อไหร่ฉันจะได้กลับบ้านสักที
การที่ต้องจากบ้านมาไกล เป็นสาเหตุหนึ่งของความเหงาได้ง่าย ๆยามเย็นมองพระอาทิตย์ลับตาอยู่ไกล ๆ อยากจะรู้ว่าคนที่เราห่วงใยสบายดีหรือเปล่า หลายครั้งที่น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่รู้สาเหตุ เวลาที่ทุกข์ เวลาที่เศร้า ไม่มีใครคอยอยู่ข้าง ๆ คอยฟังเรื่องราวและปลอบโยนในเวลาที่ยิ้ม เวลาที่ดีใจ ก็ไม่มีใครมาคอยยินดีกับฉัน
การต่อสู้โลกกว้างเพียงลำพัง เป็นสิ่งที่ฉันใฝ่ฝันและตามหา...เพราะมันนำมาซึ่งประสบการณ์ดี ๆ ในการได้เติบโตและเรียนรู้ด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่น้อยครั้งเหมือนกัน ที่ฉันอยากจะเป็นเด็กน้อย ๆ แล้วกลับไปกอดแม่ ปล่อยน้ำตาให้ไหล ให้แม่คอยปลอบใจว่า "ไม่เป็นไร..แม่อยู่ข้าง ๆ"ซึ่งในความเป็นจริงแล้วก็ยังคงเปล่าว่าง และต้องเช็ดน้ำตาอยู่คนเดียว
แม้ว่าบ้านจะเป็นสถานที่ๆคุ้นเคยจนน่าเบื่อและอยากหนีออกมาแต่ก็ไม่มีที่ไหนอบอุ่นและปลอดภัยมากไปกว่าเตียงนุ่ม ๆ กับผ้าห่มเก่า ๆของฉันอีกแล้ว และมีนางฟ้าเเละเทวดาผู้ใจดี
ที่จะคอยเข้ามาปลอบใจในเวลาที่ฉันสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายกลางดึก มันทำให้ฉันอุ้นใจและรู้ว่าไม่เป็นอะไรเพราะเป็นแค่เพียงฝันร้ายเท่านั้น แต่กับการที่ต้องอยู่ห่างไกลจากบ้าน...เวลาที่สะดุ้งตื่นขึ้นมาไม่มีใครรอบกาย
ไม่มีเสียงที่คอยปลอบใจ และฉันก็ยังสะอื้นต่อไปเพราะไม่รู้ว่าฝันร้ายนั่นจะเป็นความจริงไหม
และฉันก็มักจะนึกถามตัวเองอยู่เสมอว่า...แล้วเมื่อไหร่...ฉันจะได้กลับบ้านสักที...
โลกแห่งความจริง และความฝัน
ถูกสร้างให้เกิดขึ้นมาพร้อมกัน บนที่เดียวกัน แต่อยู่ซ้อนกัน
โลกที่เป็นความจริง
จะปล่อยให้ทุกคน ได้เรียนรู้ทุกอย่างในชีวิตด้วยตัวเอง
จะมีบทเรียนต่างๆ ที่ถูกธรรมชาติออกแบบมาให้ลองทำอย่างมากมาย
บางอย่างก็เลือกที่จะทำได้
แต่บางอย่างก็เลือกไม่ได้
โลกของความเป็นจริง จึงสามารถรู้สึกได้
สัมผัสได้ สุขจริง และเจ็บจริง
เมื่อคนบาดเจ็บกับความเป็นจริง ก็พยายามจะผลักโลกอีกใบให้แยกออกมา
เป็นอาณาเขตที่มีปุยหมอกละอองควันล่องลอย และทำให้การมองเห็นเลือนราง
เป็นที่ที่คนจะหนีไปจากความล้มเหลว แอบซ่อนตัวเองจากความผิดพลาด
และความเจ็บปวดที่ตามมาไม่ถึง
ทุกอย่างจะเต็มไปด้วยความแตกต่าง
คนบางคนที่เคยหายไปจากชีวิต หรือสิ่งที่ทำให้ชีวิตเต็มขึ้น
จะพบเจอได้ในโลกใบนี้
> > โลกแห่งความฝันจึงสวยงาม
สวยงามเฉกเช่นความฝัน
ที่รู้สึกได้ แต่สัมผัสไม่ได้ < < เป็นสิ่งที่ดี หากเรามีโลกไว้สองใบ เมื่อเจ็บกับโลกใบหนึ่ง